Photo By wikihow.com
เชื่อได้เลยว่าสาวๆ หลายคนคงกำลังสรรหาวิธีลดน้ำหนักให้ได้ผลดีที่สุด บางคนถึงขั้นยอมอดข้าวอดน้ำ ไม่กินอะไรเลยซักอย่างเพื่อให้ส่วนเกินลดลง บางคนก็อาศัยกินแต่ผักผลไม้อย่างเดียว
ซึ่งสารพัดพวกนี้อาจจะได้ผลในระยะแรกๆ แต่หลังจากเวลาผ่านไปสักพักลำไส้ของเราก็จะเริ่มทำงานได้ไม่ปกติ เพราะฉะนั้น การลดน้ำหนักที่ดีจะต้องกินอาหารที่มีประโยชน์ ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายด้วย
และอีก 1 ปัจจัยที่สำคัญก็คือ การกินผลไม้ที่มีส่วนช่วยในการขับถ่ายนั่นเอง มาดูกันดีกว่าว่าผลไม้ที่ถือว่าเป็นราชินีแห่งการลดน้ำหนักนั้นคือผลไม้ชนิดไหนบ้าง มาดูเลยค่ะ
Photo By wikihow.com
1. กล้วย
กล้วย เป็นผลไม้ที่จะช่วยให้ระบบการขับถ่ายในร่างกายทำงานดีขึ้น นอกจากนี้แล้ว กล้วยยังมีสารวิตามินบี 1 และวิตามินบี 2 ซึ่งสารเหล่านี้จะมีบทบาทในการเร่งเผาผลาญไขมันและน้ำตาลด้วย นอกจากนี้ กล้วยยังมีโปแตสเซียมที่ช่วยขับโซเดียม ซึ่งจะช่วยลดการบวมในร่างกายได้เป็นอย่างดี
ประโยชน์ของกล้วยกับความสวยความงาม
กล้วยมีไฟโตเคมิคัลที่มีช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ ชะลอความแก่และริ้วรอยได้ อีกทั้งยังช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และช่วยให้ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีขึ้นกว่าปกติ หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วเราควรจะกินกล้วยกันในช่วงไหนถึงจะเห็นผลดีที่สุดล่ะ? คำตอบก็คือ หากเรากินกล้วยในช่วงเช้า จะทำให้ร่างกายของเราได้รับน้ำในปริมาณที่พอดี และช่วยให้การไหลเวียนของของเหลวในร่างกายดีขึ้นด้วย
Photo By wikihow.com
2. แก้วมังกร
แก้วมังกร เป็นผลไม้รสหวานอร่อยที่ช่วยให้เราอิ่มท้องได้ง่ายๆ แถมยังมีกากใยสูงและแคลอรีต่ำอีกด้วย เพราะฉะนั้นสาวๆ หลายคนจึงเลือกกินแก้วมังกรเป็นอาหารเย็น หรือกินรวมกับผักสลัดอื่นๆ เพื่อช่วยในการลดน้ำหนักโดยไม่ต้องห่วงว่าจะความหวานจะไปเป็นไขมันสะสมในภายหลัง ซึ่งนอกจากแก้วมังกรจะช่วยลดความอ้วนได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังช่วยบำรุงผิวพรรณไปในตัวด้วย เพราะในแก้วมังกรนั้นมีวิตามินซีอยู่ในปริมาณที่สูงมากนั่นเองค่ะ
เมนูแก้วมังกรลดความอ้วน
ก่อนอื่นให้ผ่าผลแก้วมังกรแล้วแบ่งครึ่งออกเป็นสองส่วน ค่อยๆ ลอกเปลือกหรือใช้ช้อนตักเข้าปากเลยก็ได้ หรือใครที่ไม่อยากกินแก้วมังกรแบบธรรมดา ก็อาจจะนำไปทำเป็นเครื่องดื่มปั่นแบบสมูทตี้ กินเป็นเครื่องดื่มยามว่างแทนเครื่องดื่มประเภทน้ำอัดลมหรือน้ำหวานก็ได้ จะนำไปผสมกับสลัดผักผลไม้ก็ดูเข้ากันดี หรือแม้แต่เสิร์ฟคู่กับไอศกรีม ก็สามารถผสมกับทุกเมนูได้อย่างลงตัว
บทความจาก...... healthbeautyplus.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น