เจ๋งมาก! 4 วิธีแก้นอนกรนอย่างง่ายๆ ใครที่นอนกรนเสียงดังต้องลอง Photo By americansnoring.com
คนเราเมื่อนอนหงาย ลิ้นและลิ้นไก่จะตกไปทางด้านหลัง ตามแรงโน้มถ่วงของโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในขณะนอนหลับสนิท ซึ่งเป็นเวลาที่กล้ามเนื้อต่างๆ ทั่วร่างกายมีการหย่อนคลายตัว รวมทั้งกล้ามเนื้อบริเวณช่องคอด้วย ทางเดินหายใจบริเวณที่อยู่ด้านหลังต่อลิ้นและลิ้นไก่จะแคบลงอีก
เหตุการณ์นี้ในคนปกติ ไม่ทำให้เกิดปัญหาอะไร เพราะทางเดินหายใจเดิมกว้างอยู่แล้ว แคบลงไปเล็กน้อย ก็ยังหายใจได้ดี แต่ในคนที่เป็นโรคนี้ จะมีช่องคอแคบ ทางเดินหายใจส่วนนี้จะตีบแคบหรืออุดตันได้ เมื่อทางเดินหายใจแคบลงจนถึงจุดหนึ่ง ความแรงของลมหายใจที่ยิ่งเพิ่มมากขึ้น จนเกิดการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อภายในระบบทางเดินหายใจ ทำให้มีเสียงกรนตามมาซึ่งหากไม่มีวิธีแก้นอนกรน อาจก่อให้เกิดอันตรายจากน้อยน้อย แค่รำคาญจนถึง โรคแทรกซ้อนมากมาย โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง
4 วิธีแก้นอนกรนอย่างง่าย
1. หมอนแก้นอนกรน ใช้หมอนหนุนให้ศีรษะสูงขึ้นกว่าปรกติเล็กน้อย (อย่าให้สูงเกินไปเพราะอาจทำให้เกิดการปวดต้นคอได้) รวมทั้งไม่ควรจะใช้หมอนที่มีความนุ่มเกินไปด้วย
2. เปลี่ยนท่านอน หากปรกติเป็นคนที่นอน หงายก็ให้ลองเปลี่ยนมาใช้วิธีนอนตะแคง ดูเนื่องจากจะเป็นการช่วยลดความดันที่เกิดขึ้นในช่องทางเดินอากาศภายในลำคอ ได้
3. ควรรับประทานอาหารที่ย่อยง่ายใแก้นอนกรนนช่วงเย็นหรืออย่างน้อย 3 ชั่วโมงก่อนที่จะเข้านอน เนื่องจากถ้าหากว่ามีอาหารตกค้างอยู่ภายในกระเพาะมากจนเกินไป(เช่น เนื้อสัตว์ อาหารที่มีไขมันสูงๆ) ก็จะทำให้กะบังลมเกิดการถูกกดทับ จนมีผลให้การไหลเวียนของอากาศในร่างกายติดขัด ควรงดการดื่มเครื่องดื่ม ที่มีแอลกอฮอล์ เพราการดื่มเครื่องดื่มเหล่านี้จะมีผลทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการผ่อนคลายลงไป กว่าเดิม โดยเฉพาะอวัยวะภายในลำคอทำให้เกิดการตีบตันได้ง่ายมากขึ้น สังเกต การใช้ยาบางประเภท เช่น ยาแก้แพ้ต่างๆ หรือยานอนหลับ หากว่าคุณรู้ตัวว่านอนกรนรวมทั้งใช้ยาเหล่านี้อยู่ก็ควรปรึกษาแพทย์ว่าจะ เปลี่ยนหรือหาวิธีการรักษาอื่นได้หรือไม่ เนื่องจากยาเหล่านี้อาจมีผลทำให้การหายใจทำได้ช้าลงและสั้นขึ้นกว่าเดิม
4. ลด ความอ้วน ออกกำลังกาย โดยเฉพาะในผู้ชายมีโอกาสเกิดได้มากกับผู้ที่กำลังอยู่ในภาวะโรคอ้วนด้วย เพราะไขมันที่พอกอยู่ในบริเวณลำคอจะมีผลทำให้การหายใจทำได้ไม่สะดวก และมีโอกาสทำให้เกิดเป็นโรคหยุดหายใจขณะหลับได้อีกด้วย แต่ถ้าหากว่ารักษาด้วยตัวเองแล้วไม่ดีขึ้นก็จำเป็นที่จะต้องไปพบแพทย์เพื่อหาทางรักษา
เครดิต: http://www.sleep-care-thailand.com
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น